วางแผนติว GAT Eng อย่างไรให้ทันรอบสอบ

ติว GAT Eng วางแผนติวให้ทันสอบ

น่าจะทราบกันอยู่แล้วว่าข้อสอบ GAT ประกอบไปด้วย 2 พาร์ท คือ GAT เชื่อมโยง และ GAT Eng ซึ่งทั้ง 2 พาร์ทนี้จะมีคะแนนพาร์ทละ 150 คะแนน รวมเป็น 300 คะแนน โดย GAT เชื่อมโยงจะเป็นข้อสอบภาษาไทย ในขณะที่ GAT Eng เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษ ผู้สอบหลายคนจะมีความกังวลว่าจะทำข้อสอบ GAT Eng ไม่ทันและได้คะแนนน้อย ซึ่งจะไปดึงคะแนนรวม การวางแผนติว GAT Eng จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้การทำข้อสอบในพาร์ทนี้ผ่านไปได้ด้วยดี

ก่อนที่จะไปวางแผนติว GAT Eng เราต้องรู้ก่อนว่าข้อสอบในพาร์ทนี้ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

สำหรับน้องๆคนไหนที่อยากพิชิตข้อสอบอังกฤษอย่างง่ายดาย พี่หมอนิรินมีคอร์สอังกฤษ TGAT Eng & A-LEVEL Eng ที่ครบ เป๊ะ ตรงจุด จบในที่เดียว คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียดได้เลย

ส่วนแบ่งคะแนนข้อสอบ GAT Eng

ข้อสอบ GAT Eng ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คะแนนเต็ม 150 คะแนน แต่ละส่วนจะมี 15 ข้อ โดยทั้ง 4 ส่วนประกอบด้วย

  1. Speaking and Conversation 37.5 คะแนน
  2. Vocabulary 37.5 คะแนน
  3. Reading Comprehension 37.5 คะแนน
  4. Grammar 37.5 คะแนน

เทคนิคการเริ่มวางแผนติว GAT Eng

เทคนิคในการวางแผนการติวคือการวางเป้าหมายคร่าวๆ ก่อนว่าเราอยากได้คะแนนในพาร์ทนี้กี่คะแนน แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากได้เต็ม 150 คะแนน แต่ผู้สอบอาจต้องลองประเมินความเป็นไปได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงประเมินศักยภาพของตัวเองระหว่างการทำข้อสอบพาร์ท GAT เชื่อมโยง และ GAT Eng ด้วย

เช่น หากรู้ว่าตัวเองไม่ถนัดภาษาอังกฤษ แต่เป้าหมายต้องการคะแนนรวม GAT 250 คะแนน ก็อาจต้องตั้งใจทำ GAT เชื่อมโยงให้ได้ 130 คะแนน และ GAT Eng 120 คะแนน เป็นต้น

หลังจากที่ตั้งเป้าหมายได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะมาวางแผนติว GAT Eng อย่างไรให้ได้คะแนนตามที่ต้องการ เช่น หากต้องการ 120 คะแนน คำนวณง่ายๆ คือ ต้องให้ได้คะแนนในแต่ละส่วนอย่างน้อย 30 คะแนน

แต่ในความเป็นจริง เราอาจต้องแบ่งแต่ละส่วนตามความถนัดด้วย เช่น ถ้าบางคนถนัด Reading และ​ Grammar กว่า Speaking และ Vocabulary ก็อาจจะแบ่งสัดส่วนคะแนนไปยังพาร์ทที่ตัวเองถนัดมากกว่า

วางแผนการติว GAT Eng ในแต่ละพาร์ท

อย่างที่ทราบกันแล้วว่าข้อสอบ GAT Eng ประกอบด้วย ​​Speaking and Conversation, Vocabulary, Reading และ Grammar​ โดยแต่ละพาร์ทมีแนวทางในการเก็งข้อสอบแตกต่างกัน

ในส่วนของ Speaking and Conversation จะเป็นข้อสอบในรูปแบบบทสนทนา มีทั้งบทสนทนาแบบสั้นและแบบยาว โดยพาร์ทนี้ถือว่าไม่ยากมาก เนื่องจากสามารถใช้ความคุ้นเคยรูปประโยคในชีวิตประจำวัน และการคาดเดาคำศัพท์ได้ ใครดูหนังภาษาอังกฤษจนชินอาจผ่านพาร์ทนี้ไปได้ง่ายๆ แนะนำให้ลองทำข้อสอบพาร์ทนี้เยอะๆ จนคล่อง และควรทำได้ให้อย่างน้อย 12 ข้อ

สำหรับ Vocabulary อาจมีความยากหน่อยสำหรับคนที่ไม่ถนัดเรื่องคำศัพท์ แต่วิธีที่จะช่วยได้คือทำโจทย์และท่องศัพท์ที่ตัวเองยังไม่รู้ให้ได้เยอะที่สุด เพราะพาร์ทนี้ถ้าเจอคำที่ไม่รู้ทั้งหมดจะมืดแปดด้านเลยทันที ดังนั้นควรเตรียมตัวในการท่องศัพท์เยอะๆ และทำให้ได้ไม่ต่ำกว่า 9-10 ข้อ

ในพาร์ท Reading หัวใจสำคัญอยู่ที่การฝึกอ่านจับใจความล้วนๆ ซึ่งต้องอ่านให้เร็วและจับใจความให้ถูก โดยอาจไม่ต้องสนใจว่าจะต้องเข้าใจทั้งหมด เพียงแค่ให้จับใจความและตีความหมายของบทความได้ก็ชนะไปครึ่งทางแล้ว ในพาร์ทนี้ถ้าใครไม่ถนัดการอ่านให้ทำข้อที่ตัวเองทำได้ก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลา ซึ่งควรให้ได้คะแนนไม่ตำกว่า 8-9 ข้อ แต่ถ้าใครถนัดอาจตั้งเป้าที่ 10-12 ข้อ

พาร์ท Grammar เป็นอีกพาร์ทที่มีความท้าทายอยู่พอสมควร โดยผู้สอบต้องทำความเข้าใจหลักไวยากรณ์ให้ได้มากที่สุด วิธีง่ายๆ คือการอ่านหนังสือหรือบทความที่ชอบแล้วลองจับรูปประโยคเพื่อลองดูว่าประโยคนั้นใช้หลักไวยากรณ์อย่างไร ทำไมถึงใช้แบบนั้น ซึ่งจะช่วยให้เห็นตัวอย่างการใช้งานจริง เข้าใจได้มากกว่าการจำ อีกวิธีคือการลองเขียนบทความภาษาอังฤษเอง เพื่อให้ได้รู้ว่าตัวเองยังอ่อนในประโยครูปแบบไหน

อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ลองประเมินตัวเองดูว่าถนัดพาร์ทไหน และไม่ถนัดพาร์ทไหน เพื่อจะได้แบ่งเวลาไปติว GAT Eng ได้ถูกจุด และโฟกัสไปยังพาร์ทที่ตัวเองถนัดก่อนในตอนสอบ หรือหากน้องๆ อยากติว A Level เพิ่มเติม ก็ลองดูคอร์สของพี่หมอนิรินได้เลย